Deutschland
ประเทศเยอรมนีContext of ประเทศเยอรมนี
เยอรมนี (อังกฤษ: Germany; เยอรมัน: Deutschland, ออกเสียง: [ˈdɔʏtʃlant] ( ฟังเสียง)) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐแบบรัฐสภาในภูมิภาคยุโรปกลาง มีรัฐองค์ประกอบ 16 รัฐ มีพื้นที่ 357,021 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 83 ล้านคน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในสหภาพยุโรป และมากที่สุดเป็นอันดับสองในทวีปยุโรปรองจากรัสเซีย มีเมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ที่สุดคือกรุงเบอร์ลิน และยังเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ มีศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอยู่ที่แฟรงก์เฟิร์ต และภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ รัวร์ เยอรมนีมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเชิงเสรีภาพและรัฐสวัสดิการ มีพรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์
ชนเผ่าดั้งเดิมหลายเผ่ารวมถึงกลุ่มช...อ่านต่อ
เยอรมนี (อังกฤษ: Germany; เยอรมัน: Deutschland, ออกเสียง: [ˈdɔʏtʃlant] ( ฟังเสียง)) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐแบบรัฐสภาในภูมิภาคยุโรปกลาง มีรัฐองค์ประกอบ 16 รัฐ มีพื้นที่ 357,021 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 83 ล้านคน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในสหภาพยุโรป และมากที่สุดเป็นอันดับสองในทวีปยุโรปรองจากรัสเซีย มีเมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ที่สุดคือกรุงเบอร์ลิน และยังเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ มีศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอยู่ที่แฟรงก์เฟิร์ต และภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ รัวร์ เยอรมนีมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเชิงเสรีภาพและรัฐสวัสดิการ มีพรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์
ชนเผ่าดั้งเดิมหลายเผ่ารวมถึงกลุ่มชนเจอร์แมนิกเข้ามาตั้งรกรากทางตอนเหนือของเยอรมนีตั้งแต่สมัยคลาสสิก ภูมิภาคที่ชื่อเจอร์มาเนียได้รับการค้นพบก่อน ค.ศ. 100 และในศตวรรษที่ 10 ดินแดนของเยอรมนีกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงศตวรรษที่ 16 ภูมิภาคทางเหนือกลายเป็นศูนย์กลางของการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ หลังจากสงครามนโปเลียนและการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 1806 สมาพันธรัฐเยอรมันได้ถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1815 ต่อมาใน ค.ศ. 1871 การรวมชาติก่อให้เกิดจักรวรรดิเยอรมันซึ่งปกครองโดยปรัสเซีย และภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและการปฏิวัติเยอรมันใน ค.ศ. 1918 จักรวรรดิได้กลายสภาพเป็นสาธารณรัฐไวมาร์และปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดี
การเถลิงอำนาจของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นำไปสู่การก่อตั้งนาซีเยอรมนีซึ่งเป็นชนวนไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง และพันธุฆาตในเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ หลังสงครามสิ้นสุด เยอรมนีตกอยู่ภายใต้การยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตร ก่อนจะถูกแบ่งแยกเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก) และสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปและสหภาพยุโรป ในขณะที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีเป็นรัฐคอมมิวนิสต์กลุ่มตะวันออกและเป็นสมาชิกของกติกาสัญญาวอร์ซอ การปฏิวัติเงียบสงบนำไปสู่การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ การรวมประเทศทำให้อดีตรัฐเยอรมนีตะวันออกเข้าร่วมสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1990 และได้กลายสภาพเป็นสาธารณรัฐที่มีรัฐบาลกลางซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารโดยนายกรัฐมนตรี
เยอรมนีเป็นประเทศพัฒนาแล้วและถือเป็นมหาอำนาจ และเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป, ยูโรโซน, สหประชาชาติ, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ, สภายุโรป, เนโท, กลุ่ม 7 และกลุ่ม 20 เยอรมนีมีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก เป็นหนึ่งในผู้นำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสูง โดยหากวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เยอรมนีมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และเป็นประเทศที่มีการนำเข้าและส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รวมทั้งมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ในระดับสูง และยังมีแหล่งมรดกโลกมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รวมทั้งมีสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพ ระบบสาธารณสุขที่ครบวงจร กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด และระบบการศึกษาโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน
More about ประเทศเยอรมนี
- Currency ยูโร
- Native name Deutschland
- Calling code +49
- Internet domain .de
- Speed limit 0
- Mains voltage 230V/50Hz
- Democracy index 8.68
- Population 83149300
- Area 357587
- Driving side right
- Read lessดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์เยอรมนี
การค้นพบโครงกระดูกฟันกรามเมาเออร์ 1 (Mauer 1) ได้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีการตั้งรกรากในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันมาตั้งแต่ 600,000 ปีที่แล้ว[1] เครื่องไม้เครื่องมือในการล่าสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกถูกค้นพบในเหมืองถ่านหินบริเวณเมืองเชินนิงเงิน ซึ่งได้ค้นพบทวนไม้โบราณสามเล่มที่ฝังอยู่ใต้ผืนดินมาเป็นเวลากว่า 380,000 ปี[2] นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบฟอสซิลมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ "นีแอนเดอร์ทาล" เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคาดว่ามีอายุกว่า 40,000 ปี นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในถ้ำของเทือกเขาแอลป์ชวาเบินใกล้กับเมืองอุล์ม และยังมีการค้นพบเครื่องเป่าที่ทำจากงาช้างแมมมอธและกระดูกของนกอายุกว่า 42,000 ปี ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีการค้นพบ[3] นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบรูปสลัก "ไลออนแมน" ที่ตัวเป็นคนหัวเป็นสิงโตจากยุคน้ำแข็งเมื่อ 40,000 ปีก่อน ถือเป็นงานศิลปะอุปมาเลียนแบบกายมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบ[4]
กลุ่มชนเจอร์แมนิกและอาณาจักรแฟรงก์ (ยุคสัมฤทธิ์–ค.ศ. 843)ดูบทความหลักที่: กลุ่มชนเจอร์แมนิก และ สมัยการย้ายถิ่นคาดการณ์ว่ากลุ่มชนเจอร์แมนิกตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์ไปจนถึงยุคเหล็กก่อนการก่อตั้งกรุงโรมนั้น เดิมอยู่อาศัยบริเวณทางใต้ของสแกนดิเนเวียไปจนถึงตอนเหนือของเยอรมนี พวกเขาขยายอาณาเขตไปทางใต้ ตะวันตกและตะวันออก จนได้รู้จักและติดต่อกับชาวเคลต์ในดินแดนกอล รวมไปถึงกลุ่มชนอิหร่าน, ชาวบอลติก, ชาวสลาฟ ซึ่งอาศัยอยู่ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก[5] ต่อมา กรุงโรมภายใต้จักรพรรดิเอากุสตุส เริ่มการรุกรานดินแดนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน และแผ่ขยายดินแดนครอบคลุมทั่วลุ่มแม่น้ำไรน์และเทือกเขายูรัล ใน ค.ศ. 9 กองทหารโรมันสามกองนำโดยวาริอุสได้พ่ายแพ้ให้กับอาร์มินีอุสแห่งชนเผ่าเครุสค์ ต่อมาใน ค.ศ. 100 ในช่วงที่ตากิตุสเขียนหนังสือ Germania กลุ่มชนเผ่าเยอรมันก็ต่างได้ตั้งถิ่นฐานตลอดแม่น้ำไรน์และแม่น้ำดานูบ และเข้าครอบครองดินแดนเกือบทั้งหมดในส่วนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน
ในศตวรรษที่ 3 ได้มีการเกิดขึ้นของเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่หลายเผ่าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชนอลามันน์ (Alemanni), ชาวแฟรงก์ (Franks), ชาวชัตต์ (Chatti), ชาวแซกซอน (Saxons), ชาวซีกัม (Sicambri), และชาวเทือริง (Thuringii) ราว ค.ศ. 260 พวกชนเผ่าเยอรมันเหล่านี้ก็รุกเข้าไปในดินแดนในความควบคุมของโรมัน[6] ภายหลังการรุกรานของชาวฮันใน ค.ศ. 375 และการเสื่อมอำนาจของโรมันตั้งแต่ ค.ศ. 395 เป็นต้นไป พวกชนเผ่าเยอรมันก็ยิ่งรุกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ชนเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่เหล่านี้เข้าครอบงำชนเผ่าเยอรมันขนาดเล็กต่าง ๆ เกิดเป็นดินแดนของชนเผ่าเยอรมันในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน
อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ. 843–1815)ดูบทความหลักที่: อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก และ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 800 ชาร์เลอมาญ กษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์ ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมัน และสถาปนาจักรวรรดิการอแล็งเฌียง ต่อมาใน ค.ศ. 840 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นจากการแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พระโอรสของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา[7] สงครามกลางเมืองครั้งนี้จบลงในปี 843 โดยการแบ่งจักรวรรดิการอแล็งเฌียงออกเป็นสามอาณาจักรอันได้แก่:
อาณาจักรแฟรงก์กลาง – บริเวณเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก ตะวันออกของฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และภาคเหนือของอิตาลี อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก – บริเวณเยอรมนี ออสเตรีย เช็กเกีย สโลวาเกีย ฮังการี สโลวีเนีย โครเอเชีย และบางส่วนของบอสเนีย อาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก – บริเวณตอนกลางและตะวันตกของฝรั่งเศสอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกแผ่ขยายดินแดนอย่างมากมายครอบคลุมถึงอิตาลีในรัชสมัยพระเจ้าออทโทที่ 1 ในค.ศ. 962 พระองค์ก็ปราบดาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมันตามแบบอย่างชาร์เลอมาญ และสถาปนาราชวงศ์ออทโท ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คมีดินแดนในอาณัติกว่า 1,800 แห่งทั่วยุโรป
การผงาดของปรัสเซียดูบทความหลักที่: ปรัสเซียเดิมที ราชอาณาจักรปรัสเซียเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และยอมรับนับถือจักรพรรดิในกรุงเวียนนาเป็นเจ้าเหนือหัว อย่างไรก็ตาม ปรัสเซียเริ่มแตกหักกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเมื่อจักรพรรดิคาร์ลที่ 6 เสด็จสวรรคตในปี 1740 ทายาทของจักรพรรดิคาร์ลมีเพียงพระราชธิดาเท่านั้น พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซีย ทรงคัดค้านการให้สตรีครองบัลลังก์จักรวรรดิมาตลอด พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ทรงเปิดฉากรุกรานดินแดนไซลีเซียของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค เกิดเป็นสงครามไซลีเซียครั้งที่หนึ่ง และบานปลายเป็นสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรียที่มีอังกฤษและสเปนเข้ามาร่วมอยู่ฝ่ายเดียวกับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความเสียเปรียบของฮาพส์บวร์ค ราชสำนักกรุงเวียนนาต้องสูญเสียดินแดนจำนวนมากแก่ปรัสเซียและพันธมิตร ราชสำนักกรุงเบอร์ลินแห่งปรัสเซียได้ผงาดบารมีขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ในจักรวรรดิเทียบเคียงราชสำนักกรุงเวียนนา แม้ว่าโดยนิตินัยแล้ว ปรัสเซียจะยังคงถือเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิภายใต้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คก็ตาม
สมาพันธรัฐเยอรมันและจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1815–1918)ดูบทความหลักที่: สมาพันธรัฐเยอรมัน และ จักรวรรดิเยอรมันจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องสูญเสียดินแดนมากมายแก่ฝรั่งเศสในช่วงสงครามนโปเลียน ทำให้ในปี 1806 จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 ทรงประกาศยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และสถาปนาจักรวรรดิออสเตรียขึ้นมาแทน เมื่อนโปเลียนถูกโค่นล้มและถูกเนรเทศไปเกาะเอลบาในปี 1814 ได้มีการจัดการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาขึ้นเพื่อจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ ราชอาณาจักรปรัสเซียและจักรวรรดิออสเตรียได้ร่วมมือกันให้มีการรวมกลุ่มอย่างหลวม ๆ ของรัฐเยอรมันทั้งหลาย จัดตั้งขึ้นเป็น "สมาพันธรัฐเยอรมัน" เพื่อรวมความเป็นรัฐชาติและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวเยอรมันอีกครั้ง แม้ปรัสเซียจะพยายามผลักดันให้พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 3 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมันแต่ก็ไม่เป็นผล รัฐสมาชิก 39 แห่งกลับลงมติยอมรับนับถือจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย เป็นองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมัน
ในปี 1864 ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับปรัสเซียขึ้นอีกครั้ง และบานปลายเป็นสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย หรือที่เรียกว่า "สงครามพี่น้อง" สงครามครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะอย่างงดงามของปรัสเซีย ออสเตรียสูญเสียอิทธิพลเหนือรัฐเยอรมันตอนใต้ทั้งหมดและจำยอมยุบสมาพันธรัฐเยอรมันในวันที่ 23 สิงหาคม 1866 และนำไปสู่การสถาปนา "สมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ" ที่มีกษัตริย์แห่งปรัสเซียเป็นองค์ประธาน และภายหลังปรัสเซียมีชัยในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี 1871 รัฐสภาแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อสมาพันธรัฐเป็นจักรวรรดิ และมีมติให้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ถือเป็นการสถาปนาจักรวรรดิเยอรมันอย่างเป็นทางการ
จักรวรรดิเยอรมันมีพัฒนาการด้านอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก และมีกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจากราชนาวีอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงจนจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 สละราชสมบัติและลี้ภัยการเมืองในปี 1918 เยอรมนีเปลี่ยนไปใช้ระบอบระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐภายใต้ประธานาธิบดี
สาธารณรัฐไวมาร์และไรช์ที่สาม (ค.ศ. 1919–1945)ดูบทความหลักที่: สาธารณรัฐไวมาร์ และ นาซีเยอรมนีเมื่อระบอบจักรพรรดิล่มสลาย ได้มีการจัดประชุมสมัชชาแห่งชาติขึ้นที่เมืองไวมาร์และมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เป็นที่มาของชื่อลำลองว่า "สาธารณรัฐไวมาร์" ซึ่งตลอดช่วงเวลา 14 ปีของเยอรมนียุคสาธารณรัฐไวมาร์ ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ, อภิมหาเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงานสูงลิบ, เผชิญหน้ากับการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์จากรัสเซีย, ถูกจำกัดจำนวนทหารและห้ามมีอาวุธยุทโธปกรณ์สมรรถนะสูงจากผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย ความล่มจมของประเทศเช่นนี้ทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือพรรคกรรมกรเยอรมัน (DAP) ซึ่งมีอุดมการณ์แบบสุดโต่ง สิบตรีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งเข้ามาสอดแนมในพรรคแห่งนี้ประทับใจกับอุดมการณ์ของพรรคและตัดสินใจเข้าร่วมพรรค ฮิตเลอร์ใช้พรสวรรค์ด้านวาทศิลป์ของตนเองจนสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรค[8] ในปี 1920 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อพรรคแห่งนี้เป็น "พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "พรรคนาซี"[9]
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 นั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเยอรมนีมาก ผู้คนนับล้านในเยอรมันตกงาน ฮิตเลอร์ได้ใช้โอกาสนี้หาเสียงและกวาดคะแนนนิยม ในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 1932 พรรคนาซีกลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาไรชส์ทาค ครองที่นั่ง 230 ที่นั่งจากทั้งหมด 584 ที่นั่ง จะเห็นได้ว่าแม้นาซีจะเป็นพรรคใหญ่สุดแต่ก็ยังไม่ได้ครองเสียงข้างมาก จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ไรชส์ทาคขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1933 โดยกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของพวกคอมมิวนิสต์ นายกรัฐมนตรีฮิตเลอร์กดดันให้ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คลงนามในกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาคเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และหว่านล้อมให้สภาลงมติอนุมัติรัฐบัญญัติมอบอำนาจ ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็น "ฟือเรอร์" ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเยอรมนีไปโดยปริยาย
เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด เขาได้ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้งและเร่งฟื้นฟูแสนยานุภาพของเยอรมันเป็นการใหญ่ ฮิตเลอร์ประกาศลดภาษีรถยนต์เป็นศูนย์และเร่งรัดให้มีการสร้างทางหลวงเอาโทบานทั่วประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมันเติบโตอย่างมโหฬาร เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เยอรมนีได้ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอีกครั้งและกลายเป็นชาติที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุดในโลกในทุกด้าน ทั้งด้านวิศวกรรม อุตสาหกรรม การแพทย์ และการทหาร เทคโนโลยีหลายอย่างของโลกก็ถือกำเนิดขึ้นจากเยอรมนีในยุคนี้ อย่างไรก็ตามความรุ่งเรืองเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขูดรีดแรงงานในค่ายกักกันที่มีอยู่มากมาย
สงครามโลกครั้งที่สองในปี 1938 หลังเยอรมนีผนวกบ้านพี่เมืองน้องอย่างออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน ในที่สุด ฮิตเลอร์ส่งกองทัพเข้ายึดประเทศออสเตรียและประเทศเชโกสโลวาเกียโดยไม่สนคำครหา กลิ่นของสงครามเข้าปกคลุมทั้งทวีปยุโรป สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสต้องการเลี่ยงสงครามจึงได้จัดการประชุมมิวนิกกับเยอรมนีในเดือนกันยายน เพื่อเป็นหลักประกันว่าเยอรมนีจะไม่รุกรานดินแดนใดไปมากกว่านี้และจะไม่ก่อสงคราม แต่ขณะเดียวกัน ต่างฝ่ายก็ต่างสั่งสมกำลังเพื่อเตรียมเข้าสู่สงคราม
ในปี 1939 การบุกยึดโปแลนด์ของเยอรมนีได้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ตามด้วยการบุกครองประเทศอื่น ๆ ในยุโรปและยังทำกติกาสัญญาไตรภาคีเป็นพันธมิตรกับอิตาลีและญี่ปุ่น เขตอิทธิพลของนาซีเยอรมันได้แผ่ไพศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเยอรมันในปี 1942 ครอบคลุมส่วนใหญ่ของยุโรปภาคพื้นทวีป ในปี 1943 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของเยอรมนีจาก "ไรช์เยอรมัน" (Deutsches Reich) เป็น "ไรช์เยอรมันใหญ่" (Großdeutsches Reich)
หลังความล้มเหลวในปฏิบัติการบาร์บารอสซาที่สหภาพโซเวียต เยอรมันก็ถูกรุกกลับอย่างรวดเร็วจากทั้งสองด้าน เมื่อกองทัพแดงบุกถึงกรุงเบอร์ลินในเดือนเมษายน 1945 ฮิตเลอร์ปฏิเสธที่จะหนีออกจากกรุงเบอร์ลินและตัดสินใจยิงตัวตาย หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เยอรมนีก็ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร
เยอรมนีตะวันออกและตะวันตก (ค.ศ. 1945–1990)หลังเยอรมนียอมจำนนแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แบ่งกรุงเบอร์ลินและประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 เขตในยึดครองทางทหาร เขตฝั่งตะวันตกซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐ ได้รวมกันและจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า "สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี" เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ส่วนเขตทางตะวันออกซึ่งอยู่ในควบคุมของสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1949 ทั้งสองประเทศนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "ประเทศเยอรมนีตะวันตก" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงบ็อน และ "ประเทศเยอรมนีตะวันออก" มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงเบอร์ลินตะวันออก
เยอรมนีตะวันตกมีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐภายใต้รัฐสภากลาง และใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม (Social Market Economy) เยอรมนีตะวันตกรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจำนวนมากตามแผนมาร์แชลล์เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมของตน เศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันตกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนถูกเรียกว่า "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ" (Economic miracle) เยอรมนีตะวันตกเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในปี 1955 และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) ในปี 1957
เยอรมนีตะวันออกเป็นรัฐในกลุ่มตะวันออก (Eastern Bloc) ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและทางทหารของสหภาพโซเวียต และยังเป็นรัฐร่วมภาคีในกติกาสัญญาวอร์ซอ และแม้ว่าเยอรมนีตะวันออกจะอ้างว่าตนเองปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจทางการเมืองการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของโปลิตบูโรแห่งพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (SED) ซึ่งมีหัวแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ พรรคฯยังมีการหนุนหลังจาก "กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ "หรือที่เรียกว่า "ชตาซี" (Stasi) อันเป็นหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่ที่ควบคุมเกือบทุกแง่มุมของสังคม[10] เยอรมนีตะวันออกใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ อันเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทุกอย่างถูกวางแผนโดยรัฐ
ชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากพยายามข้ามไปยังเยอรมนีตะวันตกเพื่ออิสรภาพและชีวิตที่ดีกว่า ทำให้เยอรมนีตะวันออกตัดสินใจสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมาเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดน กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1961 กำแพงแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นระหว่างฝ่ายเสรีกับฝ่ายคอมมิวนิสต์[11] [12] การพังทลายลงของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ นำมาซึ่งการรวมประเทศเยอรมนีในปีถัดมา ก่อนที่จะตามมาด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปีให้หลัง
ยุคหลังการรวมประเทศ (ค.ศ. 1990–ปัจจุบัน)เบอร์ลินกลายเป็นเมืองหลวงเดี่ยวของประเทศอีกครั้ง ในขณะที่อดีตเมืองหลวงอย่างบ็อน ได้รับสถานะที่เรียกว่า "บุนเดิสชตัท" (นครสหพันธ์) ซึ่งจะคงที่ทำการใหญ่ของบางหน่วยงานเอาไว้ การย้ายที่ทำการรัฐบาลแล้วเสร็จในปี 1999 และเศรษฐกิจของเยอรมนีได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การรวมประเทศ เยอรมนีมีบทบาทอย่างแข็งขันในสหภาพยุโรป ลงนามในสนธิสัญญามาสทริชท์ในปี 1992 และสนธิสัญญาลิสบอนในปี 2007[13] และร่วมก่อตั้งยูโรโซน[14] เยอรมนีส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเพื่อรักษาเสถียรภาพในคาบสมุทรบอลข่าน และส่งทหารไปยังอัฟกานิสถานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเนโทในการขับไล่กลุ่มตอลิบาน[15]
ในการเลือกตั้งปี 2005 อังเกลา แมร์เคิล สร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ต่อมา ในปี 2009 รัฐบาลเยอรมนีอนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 5 หมื่นล้านยูโร[16] นโยบายทางการเมืองที่สำคัญของเยอรมนีในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ความก้าวหน้าของการบูรณาการในยุโรป และการเปลี่ยนแปลงไปใช้พลังงานทดแทน (Energiewende) มาตรการเพิ่มอัตราการเจริญพันธุ์ (pronatalism) และกลยุทธ์สำหรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจเพื่อก้าวสู่อุตสาหรรม 4.0[17] เยอรมนีได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ผู้ย้ายถิ่นยุโรปในปี 2015 โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศรับผู้อพยพกว่าล้านคน และพัฒนาระบบโควตาที่แจกจ่ายผู้อพยพไปทั่วรัฐ
↑ Wagner, G. A; Krbetschek, M; Degering, D; Bahain, J.-J; Shao, Q; Falgueres, C; Voinchet, P; Dolo, J.-M; Garcia, T; Rightmire, G. P (27 August 2010). "Radiometric dating of the type-site for Homo heidelbergensis at Mauer, Germany". PNAS. 107 (46): 19726–19730. Bibcode:2010PNAS..10719726W. doi:10.1073/pnas.1012722107. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2015. สืบค้นเมื่อ 27 August 2010. ↑ "World's Oldest Spears". archive.archaeology.org. 3 May 1997. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 February 2013. สืบค้นเมื่อ 27 August 2010. ↑ "Earliest music instruments found". BBC. 25 May 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 September 2017. สืบค้นเมื่อ 25 May 2012. ↑ "Ice Age Lion Man is world's earliest figurative sculpture". The Art Newspaper. 31 January 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 February 2015. สืบค้นเมื่อ 31 January 2013. ↑ Claster, Jill N. (1982). Medieval Experience: 300–1400. New York University Press. p. 35. ISBN 0-8147-1381-5. ↑ Bowman, Alan K.; Garnsey, Peter; Cameron, Averil (2005). The crisis of empire, A.D. 193–337. The Cambridge Ancient History. Vol. 12. Cambridge University Press. p. 442. ISBN 0-521-30199-8. ↑ Fulbrook 1991, p. 11. ↑ "Nazi Germany". Sky HISTORY TV channel (ภาษาอังกฤษ). ↑ "Nazism | Definition, Leaders, Ideology, & History". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). ↑ maw/dpa (11 March 2008). "New Study Finds More Stasi Spooks". Der Spiegel. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 November 2012. สืบค้นเมื่อ 30 October 2011. ↑ "Germany". U.S. Department of State. 10 November 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 March 2011. สืบค้นเมื่อ 26 March 2011. ↑ "The Berlin Wall". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2017. สืบค้นเมื่อ 8 February 2017. ↑ Lemke, Christiane (2010). "Germany's EU Policy: The Domestic Discourse". German Studies Review. 33 (3): 503–516. JSTOR 20787989. ↑ Research, CNN Editorial. "Eurozone Fast Facts". CNN. ↑ Dempsey, Judy (2006-10-31). "Germany is planning a Bosnia withdrawal - Europe - International Herald Tribune". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-10-11. ↑ "Germany agrees on 50-billion-euro stimulus plan - FRANCE 24". web.archive.org. 2011-05-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-13. สืบค้นเมื่อ 2021-10-11.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) ↑ "Regierungserklärung von Kanzlerin Merkel: Große Versprechen, scharfe Kritik | tagesschau.de". web.archive.org. 2015-01-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-01. สืบค้นเมื่อ 2021-10-11.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)