History of the United States ( ประวัติศาสตร์สหรัฐ )

วันเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของสหรัฐมีการถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ ตำราเก่าเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1492 ที่เน้นพื้นหลังของยุโรป หรือเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1600 ที่เน้นชายแดนอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โรงเรียนและมหาวิทยาลัยในอเมริกามักจะขยับไปรวมประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมืองมากขึ้น แทนที่จะรวมแค่ยุคอาณานิคม

ชนพื้นเมืองที่เคยอาศัยอยู่ในส่วนที่เป็นสหรัฐในตอนนี้เป็นพัน ๆ ปี และพัฒนาวัฒนธรรมที่ซับซ้อนก่อนชาวอาณานิคมของยุโรปเริ่มที่จะมาถึง ส่วนใหญ่จากประเทศอังกฤษ หลังปีค.ศ. 1600 สเปนมีการตั้งถิ่นฐานในช่วงต้นของรัฐฟลอริดาและทางตะวันตกเฉียงใต้ และฝรั่งเศสตั้งถิ่นฐานตามแม่น้ำมิสซิสซิปปีและชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก ในช่วงทศวรรษที่ 1770 สิบสามอาณานิคมของอังกฤษมีจำนวนประชากรประมาณ 2.5 ล้านคนอยู่ตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและทางตะวันออกของ แนวเทือกเขาแอปพาเลเชียน หลังจากขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกจากทวีปอเมริกาเหนือในปีค.ศ. 1763 อังกฤษได้กำหนดชุดของภาษีใหม่ในขณะที่ปฏิเสธข้อโต้แย้งของอเมริกันว่า ภาษีจำเป็นที่จะต้องเข้าสภา แรงต้านภาษีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปาร์ตี้น้ำชาที่บอสตัน (อังกฤษ: Boston Tea Party) ในปีค.ศ. 1774 นำไปสู่​​การลงโทษโดยสภาที่ได้รับการออกแบบในตัวเองของรัฐบาลในแมสซาชูเซตส์ ทั้ง 13 อาณานิคมรวมตัวกันในสภาคองเกรสที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่ใช้อาวุธในเดือนเมษายน ค.ศ. 1775 ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 สภาคองเกรสลงมติยอมรับการคำประกาศอิสรภาพสหรัฐ (อังกฤษ: Declaration of Independence) ที่เขียนขึ้นโดย ทอมัส เจฟเฟอร์สัน ที่ประกาศว่ามนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นให้เท่าเทียมกันและก่อตั้งประเทศใหม่ นั่นก็คือสหรัฐ ด้วยกองกำลังทหารขนาดใหญ่และการสนับสนุนทางการเงินจากฝรั่งเศส และความเป็นผู้นำทางทหารนำโดยนายพล จอร์จ วอชิงตัน ผู้รักชาติทั้งหลายชาวอเมริกันชนะสงครามปฏิวัติอเมริกา สนธิสัญญาสันติภาพปีค.ศ. 1783 ให้ประเทศใหม่ส่วนใหญ่ของดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี (ยกเว้นฟลอริดา) รัฐบาลแห่งชาติที่จัดตั้งขึ้นตามข้อบังคับของสมาพันธ์ (อังกฤษ: Articles of Confederation) ได้พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้ผลที่จะให้ความมั่นคงกับประเทศใหม่ เนื่องจากไม่มีอำนาจในการเก็บภาษีและไม่มีผู้บริหารระดับสูง การประชุมที่จัดขึ้นในฟิลาเดลเฟีย ในปีค.ศ. 1787 เพื่อปรับปรุงข้อบังคับของ สมาพันธ์ส่งผลให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่แทน ซึ่งถูกยอมรับ ในปีค.ศ. 1789 และในปีค.ศ. 1791 ซึ่งบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง (อังกฤษ: Bill of Rights) ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อรับประกันสิทธิ์ต่าง ๆ ที่ชอบธรรมสำหรับการปฏิวัติ ซึ่งมี จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ และมีอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองและทางการเงินของเขา รัฐบาลแห่งชาติที่แข็งแกร่งได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ โทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้เป็นประธานาธิบดี เขาได้ซื้อหลุยเซียนาจากฝรั่งเศส ทำให้ขนาดของประเทศใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า และได้ทำสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สองและครั้งสุดท้ายในปีค.ศ. 1812

อ่านต่อ

วันเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของสหรัฐมีการถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ ตำราเก่าเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1492 ที่เน้นพื้นหลังของยุโรป หรือเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1600 ที่เน้นชายแดนอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โรงเรียนและมหาวิทยาลัยในอเมริกามักจะขยับไปรวมประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมืองมากขึ้น แทนที่จะรวมแค่ยุคอาณานิคม

ชนพื้นเมืองที่เคยอาศัยอยู่ในส่วนที่เป็นสหรัฐในตอนนี้เป็นพัน ๆ ปี และพัฒนาวัฒนธรรมที่ซับซ้อนก่อนชาวอาณานิคมของยุโรปเริ่มที่จะมาถึง ส่วนใหญ่จากประเทศอังกฤษ หลังปีค.ศ. 1600 สเปนมีการตั้งถิ่นฐานในช่วงต้นของรัฐฟลอริดาและทางตะวันตกเฉียงใต้ และฝรั่งเศสตั้งถิ่นฐานตามแม่น้ำมิสซิสซิปปีและชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก ในช่วงทศวรรษที่ 1770 สิบสามอาณานิคมของอังกฤษมีจำนวนประชากรประมาณ 2.5 ล้านคนอยู่ตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและทางตะวันออกของ แนวเทือกเขาแอปพาเลเชียน หลังจากขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกจากทวีปอเมริกาเหนือในปีค.ศ. 1763 อังกฤษได้กำหนดชุดของภาษีใหม่ในขณะที่ปฏิเสธข้อโต้แย้งของอเมริกันว่า ภาษีจำเป็นที่จะต้องเข้าสภา แรงต้านภาษีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปาร์ตี้น้ำชาที่บอสตัน (อังกฤษ: Boston Tea Party) ในปีค.ศ. 1774 นำไปสู่​​การลงโทษโดยสภาที่ได้รับการออกแบบในตัวเองของรัฐบาลในแมสซาชูเซตส์ ทั้ง 13 อาณานิคมรวมตัวกันในสภาคองเกรสที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่ใช้อาวุธในเดือนเมษายน ค.ศ. 1775 ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 สภาคองเกรสลงมติยอมรับการคำประกาศอิสรภาพสหรัฐ (อังกฤษ: Declaration of Independence) ที่เขียนขึ้นโดย ทอมัส เจฟเฟอร์สัน ที่ประกาศว่ามนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นให้เท่าเทียมกันและก่อตั้งประเทศใหม่ นั่นก็คือสหรัฐ ด้วยกองกำลังทหารขนาดใหญ่และการสนับสนุนทางการเงินจากฝรั่งเศส และความเป็นผู้นำทางทหารนำโดยนายพล จอร์จ วอชิงตัน ผู้รักชาติทั้งหลายชาวอเมริกันชนะสงครามปฏิวัติอเมริกา สนธิสัญญาสันติภาพปีค.ศ. 1783 ให้ประเทศใหม่ส่วนใหญ่ของดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี (ยกเว้นฟลอริดา) รัฐบาลแห่งชาติที่จัดตั้งขึ้นตามข้อบังคับของสมาพันธ์ (อังกฤษ: Articles of Confederation) ได้พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้ผลที่จะให้ความมั่นคงกับประเทศใหม่ เนื่องจากไม่มีอำนาจในการเก็บภาษีและไม่มีผู้บริหารระดับสูง การประชุมที่จัดขึ้นในฟิลาเดลเฟีย ในปีค.ศ. 1787 เพื่อปรับปรุงข้อบังคับของ สมาพันธ์ส่งผลให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่แทน ซึ่งถูกยอมรับ ในปีค.ศ. 1789 และในปีค.ศ. 1791 ซึ่งบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง (อังกฤษ: Bill of Rights) ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อรับประกันสิทธิ์ต่าง ๆ ที่ชอบธรรมสำหรับการปฏิวัติ ซึ่งมี จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ และมีอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองและทางการเงินของเขา รัฐบาลแห่งชาติที่แข็งแกร่งได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ โทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้เป็นประธานาธิบดี เขาได้ซื้อหลุยเซียนาจากฝรั่งเศส ทำให้ขนาดของประเทศใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า และได้ทำสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สองและครั้งสุดท้ายในปีค.ศ. 1812

ประเทศถูกผลักดันโดยความเชื่อของชะตากรรมที่เด่นชัด ได้ขยายตัวเกินกว่าการซื้อลุยเซียนาตลอดทางไปถึงแคลิฟอร์เนียและโอเรกอน การขยายตัวได้รับการผลักดันโดยการแสวงหาที่ดินราคาไม่แพงสำหรับเกษตรกร เสรีชน และเจ้าของทาส การขยายตัวนี้เป็นที่ถกเถียงกันและเติมเชื้อความแตกต่างที่แก้ไขไม่ได้ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในเรื่องสถาบันของการเป็นทาสในดินแดนใหม่ ทาสถูกยกเลิกในทุกรัฐทางตอนเหนือของเส้นเมสัน-ดิกซันในปีค.ศ. 1804 แต่ภาคใต้ยังคงมีกำไรจากสถาบันเพื่อผลิตฝ้ายส่งออกในมูลค่าสูงเพื่อให้ทันความต้องการที่สูงขึ้นในยุโรป ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1860 ของนักต่อต้านการเป็นทาสจากพรรครีพับลิกัน อับราฮัม ลินคอล์น จุดชนวนให้เกิดการแยกตัวของเจ็ดรัฐ (ต่อมาเป็นสิบเอ็ดรัฐ) รัฐทาสที่จัดตั้งสมาพันธรัฐในปีค.ศ. 1861 ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองอเมริกัน (ค.ศ.1861 - 1865) ผลที่ตามมาคือวัสดุท่วมท้นและข้อได้เปรียบกำลังคนของภาคเหนือเป็นตัวชี้ขาดในสงครามที่ยาวนาน ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสยังคงเป็นกลาง ผลก็คือการฟื้นฟูของสหภาพ การแร้นแค้นของภาคใต้ และการเลิกทาส ในยุคบูรณะ (อังกฤษ: Reconstruction era 1863 - 1877) สิทธิตามกฎหมายและการออกเสียงลงคะแนนถูกขยายไปยังเสรีชน (เสรีทาส) รัฐบาลแห่งชาติเกิดความเข้มแข็งมากขึ้น เพราะคำแปรญัตติที่สิบสี่ (อังกฤษ: Fourteenth Amendment) มันได้รับหน้าที่ที่ชัดเจนในการปกป้องสิทธิส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามกฎหมายที่แยกจากกันและกฎหมายของ จิม โครว ทิ้งให้คนผิวดำเป็นพลเมืองชั้นสองในภาคใต้ที่มีอำนาจน้อยจนถึงปีค.ศ. 1960

สหรัฐกลายเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกในช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษที่ 20 เนื่องจากการระเบิดของผู้ประกอบการในภาคตะวันออกตอนเหนือและตะวันตกตอนกลาง และการมาถึงของแรงงานอพยพและเกษตรกรจากยุโรป เครือข่ายทางรถไฟของประเทศถูกสร้างให้แล้วเสร็จโดยการทำงานของผู้อพยพชาวจีน และการทำเหมืองแร่และโรงงานขนาดใหญ่สร้างงานอุตสาหกรรมให้กับภาคตะวันออกตอนเหนือและภาคตะวันตกตอนกลาง ทำให้ความไม่พอใจของมวลชนกับการทุจริตและการเมืองแบบดั้งเดิมกระตุ้นการเคลื่อนไหวก้าวหน้า จากยุคทศวรรษที่ 1890 - 1920 ซึ่งนำไปสู่​​การปฏิรูปมากมายรวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 16 - 19 ซึ่งทำให้เกิดภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลางในการเลือกตั้งวุฒิสภาโดยตรง ข้อห้ามและสิทธิในการออกเสียงของสตรี ในขั้นแรก การเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สหรัฐได้ประกาสสงครามกับเยอรมนีในปีค.ศ. 1917 และได้รับชัยชนะจากพันธมิตรในปีต่อไป สตรีได้รับสิทธิในการลงคะแนนเสียงในปีค.ศ. 1920 โดยชาวพื้นเมืองอเมริกันได้รับสัญชาติและสิทธิในการลงคะแนนเสียงในปีค.ศ. 1924

ตอนแรกที่สหรัฐเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สหรัฐประกาศสงครามกับเยอรมนีในปีค.ศ. 1917 และให้เงินสนับสนุนพันธมิตรจนได้ชัยชนะในปีต่อมา หลังจากทศวรรษที่เจริญรุ่งเรืองในปีค.ศ. 1920 วอลล์สตรีทพังทลายในปีค.ศ. 1929 ทำให้เกิดการเริ่มต้นการตกต่ำของเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่แผ่ขยายทั่วโลกนานนับทศวรรษ แฟรงกลิน โรสเวลต์ แห่งพรรคเดโมแครตจบการครอบงำทำเนียบขาวของพรรครีพับลิกันและดำเนินการโปรแกรมของเขา ข้อตกลงใหม่เพื่อบรรเทา กู้คืน และปฏิรูป พวกเขาให้คำนิยามว่าเป็นเสรีนิยมอเมริกันที่ทันสมัยเหล่านี้รวมถึงการบรรเทาการว่างงาน การสนับสนุนเกษตรกร การประกันสังคม และค่าจ้างขั้นต่ำ หลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 สหรัฐได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับพันธมิตรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหราชอาณาจักร และสหภาพโซเวียต พวกเขาจ่ายทุนสงครามให้กับพันธมิตรและช่วยให้ชนะนาซีเยอรมนีในยุโรปและการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่นในตะวันออกไกล

สหรัฐและสหภาพโซเวียตกลายเป็นมหาอำนาจคู่แข่งหลังสงครามโลกครั้งที่สองราวปีค.ศ. 1947 พวกเขาเริ่มสงครามเย็นการเผชิญหน้ากับอีกคนหนึ่งโดยทางอ้อมในการแข่งขันด้านอาวุธและอวกาศ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐในช่วงสงครามเย็นถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ การสนับสนุนของยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่น นโยบายของ "เอาอยู่" หรือการหยุดการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ สหรัฐมีส่วนร่วมในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม เพื่อหยุดการแพร่กระจายในปีค.ศ. 1960 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแรงของการเคลื่อนไหวของสิทธิมนุษยชน คลื่นอื่น ๆ ของการปฏิรูปทางสังคมถูกนำมาใช้ในระหว่างการบริหารของเคนเนดีและจอห์นสัน การบังคับใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของการลงคะแนนและเสรีภาพในการเคลื่อนไหวของคนแอฟริกัน-อเมริกัน และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ การเคลื่อนไหวของชาวอเมริกันพื้นเมืองก็เพิ่มขึ้นด้วย สงครามเย็นสิ้นสุดลงเมื่อสหภาพโซเวียตสลายในปีค.ศ. 1991 ปล่อยให้สหรัฐเป็นมหาอำนาจของโลกเพียงผู้เดียว เมื่อศตวรรษที่ 21 เริ่มต้น ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีศูนย์กลางรอบ ๆ ตะวันออกกลางและแพร่กระจายไปยังเอเชียและแอฟริกา ตามด้วยการโจมตีในเหตุการณ์ 11 กันยายน โดยอัลกออิดะฮ์ ต่อสหรัฐ ในปีค.ศ. 2008 สหรัฐมีวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งตามมาด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าปกติในยุคทศวรรษที่ 2010